32 อันดับดวงดาว: ที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่ในจักรวาล

        32 อันดับดวงดาว: ที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่ในจักรวาล

เปรียบเทียบขนาดของจักรวาล


ต่อไปนี้เราจะมาทำการไล่เรียงลำดับจากดวงดาวที่มีขนาดเล็ก ไปสู่ดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ ใน 32 อันดับ ของที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่ในเอกภพ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซีรีส (Ceres)


อันดับที่ 32: ซีรีส (Ceres)
หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1 ซีรีส โดยมันเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุด และเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวภายในระบบสุริยะชั้นใน ซึ่งมันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยดาราศาสตร์ชาวอิตาลีที่ชื่อ จูเซปเป ปีอาซซี (Giuseppe Piazzi) เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1801 โดยดาวเคราะห์แคระดวงนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 950 กิโลเมตรโดยประมาณ
อันดับที่ 31: ดวงจันทร์ (Moon)
ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็คือดวงจันทร์ หรือดาวดาวบริวารของโลกเราเอง มันถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีก่อน หรือไม่นานหลังจากที่โลกถือกำเนิด โดยคำอธิบายที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางของการกำเนิดดวงจันทร์ก็คือ มันก่อกำเนิดมาจากเศษซากที่เหลือของการปะทะกันอย่างรุนแรงในอวกาศ ระหว่างโลกกับดาวเคราะห์ปริศนาขนาดประมาณดาวอังคาร (เราเรียกมันว่า ดาวเธียอา (Theia)) จนทำให้สสารบางส่วนจากการปะทะในครั้งนั้นได้ก่อรูปทรงกลม จนกลายมาเป็นดวงจันทร์ดังที่เห็นในปัจจุบัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 3,500 กิโลเมตร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คัลลิสโต (Callisto)


อันดับที่ 30: คัลลิสโต (Callisto)
ดาวคัลลิสโต คือดาวบริวาณของดาวพฤหัสบดี ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดย กาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1610 ซึ่งดาวดวงนี้ประกอบไปด้วยหิน และน้ำแข็ง เสียเป็นส่วนใหญ่ นี่จึงทำให้คัลลิสโต มีมวลเพียงหนึ่งในสามของดาวพุธเท่านั้น แม้ว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของมันจะใกล้เคียงกับดาวพุธถึง 99% ก็ตาม โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันก็คือ 4,800 กิโลเมตร
อันดับที่ 29: ดาวพุธ (Mercury)
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะอีกด้วย โดยมันใช้เวลาเพียง 87.969 วัน สำหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ แต่ในขณะที่การหมุนรอบตัวเองมันกลับใช้เวลานานถึง 58.6461 วัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของคาบการหมุนรอบตัวเอง และคาบการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์แล้ว จะพบว่า ระยะเวลาจากในช่วงกลางวันถึง ช่วงเวลากลางคืนบนดาวพุธนั้น กินเวลายาวนานถึง 176 วันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากที่สุดของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เส้นผ่านศูนย์กลางของมันก็คือ 4,900 กิโลเมตร
อันดับที่ 28: ดาวอังคาร (Mars)
ดาวอังคาร เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สี่จากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่สุด อันดับที่สองในระบบสุริยะรองจากดาวพุธ และเนื่องจากพื้นผิวของดาวประกอบไปด้วยเหล็กออกไซด์เป็นส่วนมาก นี่จึงทำให้เรามักขนานนามให้กับมันว่า ดาวแดง นั่นเอง อีกทั้งข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า ดาวอังคารเมื่อราว 4,500 ล้านปีก่อน ไม่ได้มีชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่เบาบางเหมือนในทุกวันนี้ แต่มีชั้นบรรยากาศที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ปกคลุมอยู่หนาแน่น และที่สำคัญคือมูลจากทางธรณีวิทยายังพบอีกว่า ในสมัยนั้นเอง ดาวอังคารก็เคยถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ เช่นเดียวกับโลก ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกลมสุริยะพัดออกสู่ห้วงอวกาศไปจนเกือบหมด โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือประมาณ 6,800 กิโลเมตร
อันดับที่ 27: ดาวศุกร์ (Venus)
ดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 ดาวศุกร์มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นใหญ่ 3 เท่าของดวงจันทร์ และ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธและดาวอังคาร 2 เท่าตัว อีกทั้งมันยังเป็นดาวเคราะห์หิน ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด ขณะที่ชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ จะประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มากถึง 97% นี้จึงทำให้อุณหภูมิของดาวศุกร์สูงมากถึง 400 องศาเซลเซียส ในตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณคือ 12,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 26: ดาวเคราะห์โลก (Earth)
โลก เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สามจากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทราบได้อย่างแน่นอนว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยจากหลักฐานทางธรณีวิทยาบางส่วนชี้ว่า ส่วนประกอบของชีวิตอาจถือกำเนิดขึ้นมาเร็วสุดเมื่อ 4.1 พันล้านปีก่อน หรือประมาณ 400 ล้านปีหลังจากที่โลกได้ถือกำเนิด ซึ่งปัจจุบันสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากดาวเคราะห์ดวงนี้มักจะเรียกตัวเองว่า ‘มนุษย์’ และมีอยู่เป็นจำนวนมากถึง 7,000 ล้านชีวิต อีกทั้งโลกยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีความหนาแน่นสูงสุดในระบบสุริยะอีกด้วย โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางดาวประมาณ 13,000 กิโลเมตร



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



อันดับที่ 25: เคปเลอร์-22บี (Kepler 22b)
เป็นดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่ได้รับการยืนยันการค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2011 ว่าคือดาวเคราะห์ที่อยู่ใน ‘เขตอยู่อาศัยได้’ (habitable zone) รวมทั้งมันยังมีคาบวงโคจรรอบดาวฤกษ์ ในลักษณะคล้ายกันกับโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งเคปเลอร์-22บี นั้นมีระยะทางห่างจากโลกของเราประมาณ 600 ปีแสง และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 30,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 24: ดาวเนปจูน (Neptune)
ดาวเนปจูน เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ โดยการที่ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงินนั้น ก็เป็นผลอันเนื่องมาจากชั้นบรรยากาศของผิวดาวชั้นนอกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทน และถึงแม้ว่าอุณหภูมิพื้นผิวจะหนาวเย็นและติดลบถึง -220 องศาเซลเซียส เนื่องจากอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในดาวเนปจูนนั้น กลับมีอุณหภูมิมากถึง 7,000 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเนปจูนอยู่ที่ประมาณ 50,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 23: ดาวยูเรนัส (Uranus)
ดาวยูเรนัส หรือ ดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 และจัดเป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในระบบสุริยะ โดยองค์ประกอบของยูเรนัสจะคล้ายกับดาวเนปจูนมาก นี้จึงทำให้มันมีสีฟ้าคล้ายกัน และนักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่า ดาวยูเรนัสนั้นแผ่ความร้อนออกจากตัวดาวน้อยมาก นั่นก็อาจจะเป็นเพราะภายในดาวไม่มีการยุบตัวแล้ว หรืออาจมีอะไรบางอย่างได้ไปปิดกั้นการยุบตัวเอาไว้ ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบได้อย่างแน่ชัดว่าทำไม โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวยูเรนัสจะอยู่ที่ประมาณ 51,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 22: ดาวเสาร์ (Saturn)
ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ดวงลำดับที่ 6 นับถัดจากดวงอาทิตย์ โดยมีรัศมีเฉลี่ยมากกว่าโลกประมาณเก้าเท่า และมีมวลมากกว่าโลกถึง 95 เท่า อย่างไรก็ตามมันก็มีความหนาแน่นเพียง 1 ใน 8 ของโลกเท่านั้น นี้ก็หมายความว่า หากเรามีมหาสมุทรขนาดใหญ่ในระดับจักรวาลอยู่ แล้วจับดาวเสาร์โยนลงไป ดาวเสาร์ก็จะสามารถลอยน้ำได้นั่นเอง ในขณะที่วงแหวนของดาวเสาร์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยเศษหินและน้ำแข็งขนาดเล็ก ที่เรียงตัวอยู่ในระนาบเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้แถบวงแหวนเหล่านี้จะมีขนาดความกว้างอยู่มากถึง 80,000 กิโลเมตร จนสามารถมองเห็นได้จากโลกก็ตาม แต่มันกลับมีความหนาเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 500 กิโลเมตรเท่านั้น หรือในอัตราส่วนราว 160 ต่อ 1 ซึ่งมันบางมากๆ โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเสาร์จะอยู่ที่ประมาณ 120,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 21: ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)
ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 และมีขนาดใหญ่สุดในระบบสุริยะ (ไม่นับดวงอาทิตย์) โดยมีน้ำหนักมากกว่าโลกถึง 318 เท่า และมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11 เท่า หรือคิดเป็นปริมาตร 1,300 เท่าของโลก อีกทั้งมันยังมีมวลมากกว่ามวลของดาวเคราะห์ทุกๆดวงในระบบสุริยะรวมกันราว 2.5 เท่า และจากการประเมินของนักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่า หากดาวพฤหัสบดีมีมวลมากกว่านี้สัก 80 เท่า มันก็อาจมีความดันในใจกลางมากพอ ที่จะสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นจนกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงเล็กๆได้ โดยดาวพฤหัสบดีมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 140,000 กิโลเมตร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พร็อกซิมาคนครึ่งม้า (Proxima Centauri)


อันดับที่ 20: พร็อกซิมาคนครึ่งม้า (Proxima Centauri)
ดาวพร็อกซิมา เซนทอรี หรือ อัลฟา เซนทอรี C คือดาวแคระแดงในกลุ่มของระบบดาวฤกษ์คู่ (binary star) ที่ชื่อ อัลฟา เซนทอรี เอบี (Alpha Centauri AB) โดยมันอยู่ห่างจากระบบสุริยะของเราเพียง 4.2 ปีแสงเท่านั้น ค้นพบครั้งแรกโดยโรเบิร์ต อินเนส ผู้อำนวยการหอดูดาวยูเนียนในแอฟริกาใต้เมื่อปี ค.ศ 1915 อีกทั้งมันยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นดาวฤกษ์ดวงที่อยู่ใกล้กับระบบสุริยะของเรามากที่สุด (เท่าที่รู้จักกันในปัจจุบัน) และการที่ดาวพร็อกซิมา เซนทอรี มีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ หรือที่ประมาณ 2,700 องศาเซลเซียส (3,042 เคลวิน) และมีมวลน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์นี่เอง จึงทำให้พร็อกซิมา เซนทอรี นั้น จะสามารถใช้พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นได้ช้ากว่าดวงอาทิตย์ของเรา หรือก็คือมันจะมีอายุยืนยาวกว่าดวงอาทิตย์ของเรานั่นเอง เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณของมันคือ 200,000 กิโลเมตร
อันดับที่ 19: ดวงอาทิตย์ (Sun)
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ ณ ใจกลางระบบสุริยะ เป็นพลาสมาร้อนทรงเกือบกลมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งพลังงานสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.4 ล้านกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าโลกถึง 109 เท่า และมีมวลมากกว่าโลก 330,000 เท่า อีกทั้งยังเป็นมวลกว่าร้อยละ 99.86 ของมวลทั้งหมดภายในระบบสุริยะ โดยองค์ประกอบของดวงอาทิตย์ประมาณสามในสี่เป็นไฮโดรเจน ส่วนที่เหลือเป็นฮีเลียม และมีปริมาณธาตุหนักเพียงเล็กน้อย รวมทั้งออกซิเจน คาร์บอน นีออนและเหล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณคือ 1,400,000 กิโลเมตร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดาวซิริอุส (Sirius)


อันดับที่ 18: ดาวซิริอุส (Sirius)

ดาวซิริอุส มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งในภาษาไทยว่า ดาวโจร เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในตอนกลางคืนและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจริงๆแล้วมันคือระบบดาวฤกษ์คู่โดยดาวที่สว่างสุดนั้นคือซิริอุส เอ และยังมีดาวแคระขาวสีจางๆอีกดวงใกล้ๆที่ชื่อซิริอุส บี อีกทั้งระบบดาวดวงนี้ยังอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์เรามากเพียง 8.6 ปีแสงเท่านั้น โดยดาวซิริอุส-เอ มีมวลประมาณ 2 เท่าของดวงอาทิตย์ และมีค่าความสว่างสัมบูรณ์ เท่ากับ 1.42 หรือคิดเป็น 25 เท่าของความสว่างของดวงอาทิตย์ ขณะที่เส้นผ่านศูนย์กลางของมันใหญ่โตถึง 2.5 ล้านกิโลเมตร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดาวเวกา (Vega)





อันดับที่ 17: ดาวเวกา (Vega)
เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวพิณ และเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดเป็นอันดับห้าในท้องฟ้ากลางคืน อีกทั้งมันยังสว่างสุดเป็นอันดับสองในซีกฟ้าเหนืออีกด้วย ซึ่งเป็นรองเพียงดาวอาร์คตุรุสเท่านั้น โดยดาวเวกายังถือได้ว่าอยู่ใกล้กับเราพอควร นั่นคือห่างไกลในระยะ 25 ปีแสงจากโลก ในอดีตดาวเวกาเคยเป็นดาวเหนือของโลกมาก่อน เมื่อราว 12,000 ปีที่แล้ว และจะกลับมาเป็นดาวเหนืออีกครั้งราว ปี ค.ศ. 13727 ซึ่งวัตถุลึกลับอย่าง โอมูอามูอา นักวิทยาศาสตร์เองก็คำนวณแล้วว่า มันอาจมีแหล่งกำเนิดมาจากระบบดาวเวกาเช่นกัน โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 3.8 ล้านกิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดาวอาร์คตุรุส (Arcturus)








อันดับที่ 16: ดาวอาร์คตุรุส (Arcturus)
ดาวอาร์คตุรุสคือดาวยักษ์แดง ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ มีค่าความส่องสว่างปรากฏเท่ากับ -0.05 ถือเป็นดาวสว่างที่สุดลำดับที่ 4 บนท้องฟ้ายามราตรี รองจากดาวซิริอุสและดาวคาโนปุส แต่ก็ยังเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดในซีกฟ้าเหนือ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36.7 ปีแสง และจากการตรวจค่าแสงในย่านอินฟราเรดก็พบว่า มันมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 170 เท่า เส้นผ่านศูนย์กลางของมันใหญ่มากถึง 36 ล้านกิโลเมตร!


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดาวไรเจล (Rigel)



อันดับที่ 15: ดาวไรเจล (Rigel)
ดาวไรเจล เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างสุดในกลุ่มดาวนายพราน (Orion Constellation) และสว่างสุดเป็นลำดับ 7 บนท้องฟ้า อยู่ห่างจากโลกประมาณ 863 ปีแสง โดยมีค่าความสว่างเท่ากับ 0.13 แม้ตามการจัดระดับดาวของเบเยอร์แล้ว มันจะได้รับรหัสว่า เบต้าโอไรออนก็ตาม แต่เรากลับพบว่า มันมีความสว่างมากกว่าดาวอัลฟาโอไรออน หรือ ดาวบีเทลจุส เสียอีก โดยดาวไรเจลอยู่ห่างไกลจากโลกราว 863 ปีแสง และมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่โตมโหฬารมากถึง 97 ล้านกิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)


อันดับที่ 14: ดาวบีเทลจุส (Betelgeuse)
ดาวบีเทลจุส เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง (Red supergiant star) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1,000 เท่า ของดวงอาทิตย์ และอยู่ไกลจากโลกราว 640 ปีแสง อีกทั้งมันยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะ ที่มนุษย์สามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จ ในปี ค.ศ 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก ที่เราสามารถถ่ายภาพมันได้จากชั้นบรรยากาศอีกด้วย แน่นอนว่าดาวไรเจลที่เราว่าใหญ่โตมโหฬารแล้ว แต่เมื่อมาเจอกับรุนใหญ่อย่างบีเทลจุสก็ถึงคราวต้องยอมสยบ เพราะมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เว่อถึง 1,300 ล้านกิโลเมตร! เลยทีเดียว
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วีวาย เคนิส เมเจอรีส (VY Canis Majoris)



อันดับที่ 13: วีวาย เคนิส เมเจอรีส (VY Canis Majoris)
หรือวีวายหมาใหญ่ มันคือดาวฤกษ์ชนิดไฮเปอร์ไจแอนท์สีแดง และตั้งอยู่บริเวณกลุ่มดาวหมาใหญ่ มีขนาดรัศมีใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 1,420 เท่า จัดได้ว่าเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกค่อนข้างไกล นั่นคือในระยะ 4,900 ปีแสง อีกทั้ง วีวาย เคนิส เมเจอรีส ยังเป็นดาวฤกษ์เดี่ยว ซึ่งจะแตกต่างไปจากดาวไฮเปอร์ไจแอนท์ทั่วไป ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นระบบดาวฤกษ์คู่ โดยนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า จากการเผาไหม้เชื่อเพลิงอย่างมหาศาลของดาวนี้เอง ก็จะไปส่งผลทำให้อายุของดาวมักจะไม่ยืนยาวสักเท่าไหร่ นั่นคือ อีกประมาณ 100,000 ปีจากนี้ มันก็จะหมดอายุขัยแล้วกลายเป็น ไฮเปอร์โนวา (Hypernova) เส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 2,000 ล้านกิโลเมตร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ : ยูวายสคูไท (UY Scuti



อันดับที่ 12: ยูวายสคูไท (UY Scuti)
ยูวายสคูไท เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดงในกลุ่มดาวโล่ (Scutum Constellation) และเป็นดาวแปรแสงแบบยุบขยาย (Pulsating Variables) ว่ากันว่าดาวดวงนี้คือดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่สุดในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราอีกด้วย ซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เรามากถึง 1,708 เท่า และสว่างกว่าดวงอาทิตย์ 340,000 เท่า ดังนั้นถ้าเรานำดาวยูวายสคูไทไปลงทับดวงอาทิตย์ ตรง ใจกลางของระบบสุริยะแล้วละก็ ความใหญ่ของมันจะกินพื้นที่ไปไกลถึงวงโคจรดาวพฤหัสบดีเลยทีเดียว ถึงอย่างไรก็ตามแม้รูปร่างของมันจะใหญ่โตจนสุดเหนือจินตนาการ แต่ความร้อนของมันก็ร้อนได้เพียงครึ่งเดียวของความร้อนดวงอาทิตย์เท่านั้น (อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 3,100 องศาเซลเซียส ในขณะที่พื้นผิวดวงอาทิตย์ของเราร้อนประมาณ 5,500 องศาเซียเซียส) เส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 2,400 ล้านกิโลเมตร



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ (NGC 1277)


อันดับที่ 11: หลุมดำยักษ์เอ็นจีซี 1277 (NGC 1277)
หลุมดำยักษ์ภายในกาแล็กซี เอ็นจีซี 1277 คือประเภทของหลุมดำมวลยวดยิ่ง ในระดับ Supermassive black hole โดยมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 17,000 ล้านเท่า! และใหญ่โตกว่าหลุมดำที่ใจกลางกาแลกซี่ของเราถึง 4,250 เท่า (หลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือกมีมวลประมาณ 4 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์) โดยมวลของหลุมดำยักษ์ดวงนี้ มันใหญ่โตเอามากๆ จนสามารถคิดจำนวนมวลสารมันได้เป็นร้อยล่ะ 14 ของมวลทั้งหมดในกาแลกซี่ที่มันอาศัยอยู่เลยทีเดียว เส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 60,000 ล้านกิโลเมตร



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



อันดับที่ 10: หลุมดำยักษ์ทัน 618 (TON 618)
หลุมดำยักษ์ภายในเควซาร์ TON 618 คือประเภทของหลุมดำมวลยวดยิ่งในระดับ Ultramassive black hole โดยเควซาร์ (Quasar) ก็คือวัตถุที่มีแสงสว่างเจิดจ้าเป็นอย่างมาก และอยู่ห่างไกลจากโลกมากๆ ด้วยระยะทางประมาณ 10,400 ล้านปีแสง และจากการการที่มันอยู่ห่างจากโลกมากมายขนาดนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะเป็นวัตถุโบราณในช่วงก่อกำเนิดห้วงอวกาศของเอกภพกันเลยทีเดียว อีกทั้งยังพบอีกว่าด้วยแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของมัน จะสามารถจนก่อให้เกิด accretion disc หรือมวลสารของก๊าซร้อนได้ไหลเวียนอยู่โดยรอบได้ ด้วยความเร็วมากถึง 7,000 กิโลเมตรต่อวินาที! และตามกฎของแรงโน้มถ่วงแล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ประเมินว่า หลุมดำยักษ์ใน TON 618 นั้น มีมวลมากกว่าระบบสุริยะของเราถึง 66,000 ล้านเท่า! เส้นผ่านศูนย์กลางของมันคือ 400,000 ล้านกิโลเมตร



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เนบิวลาตาแมว (Cat’s Eye Nebula)



อันดับที่ 9: เนบิวลาตาแมว (Cat’s Eye Nebula)
เนบิวลาตาแมวหรือรู้จักกันดีในชื่อ NGC 6543 เป็นเนบิวลาที่ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวมังกร โดยการก่อตัวของมันนับว่ามีซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่เราเคยรู้จัก ค้นพบโดย วิลเลียม เฮอร์เชล ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786 ซึ่งจากลักษณะที่แผ่ขยายออกจากศูนย์กลางนี้เอง เราจึงจัดให้มันไปอยู่ในประเภทของ ‘เนบิวลาดาวเคราะห์’ ที่ประกอบด้วยก๊าซร้อน ของไฮโดรเจนและฮีเลียมเสียส่วนใหญ่ ปัจจุบันการศึกษาใหม่ๆได้เผยให้เห็นปริศนาหลายๆอย่าง รวมถึงโครงสร้างอันซับของมัน อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะบ่งชี้ได้ว่า ตรงส่วนกลางนั้นจะปรากฎให้เห็นถึงวัตถุใดๆเลย แต่คาดกันว่า ตรงใจกลางน่าจะเป็นที่อยู่ของดาวแคระขาว หรือดาวฤกษ์ขนาดเท่าดวงอาทิตย์ที่หมดสิ้นอายุไปแล้วนั่นเอง ขนาดความใหญ่ของมันคือ 0.4 ปีแสงหรือประมาณ 3.78 ล้านล้าน กิโลเมตร












อันดับที่ 8: เนบิวลาเกลียว (Helix Nebula)
หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า NGC 7293 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 700 ปีแสง ในกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ เนบิวลาเกลียวเกิดจากดาวฤกษ์ขนาดกลางที่ดับไปแล้ว ซึ่งก่อนที่มันจะตายหรือดับ ดาวดวงนั้นก็ได้เกิดระเบิดขึ้นและ ส่งให้ก๊าซต่างๆได้ไหลออกมาอยู่โดยรอบ จนเหลือไว้แต่เพียงแกนกลางทึบที่เรียกว่าดาวแคระขาว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเนบิวลาที่เราจัดไว้ให้อยู่ในประเภทของเนบิวลาดาวเคราะห์ จากลักษณะของการกระจายตัวของก๊าสที่สวยงามดังกล่าว มันจึงได้รับฉายาอีกชื่อหนึ่งว่าดวงตาของพระเจ้า (Eye of God) ขนาดความใหญ่ของมันคือ 5.74 ปีแสง หรือประมาณ 54.3 ล้านล้าน กิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เนบิวลานายพราน (Orion Nebula)


อันดับที่ 7: เนบิวลานายพราน (Orion Nebula)
เนบิวลานายพราน หรือ เนบิวลาโอไรออน (Orion Nebula) มีชื่อทางการว่า NGC 1976 ถือเป็นหนึ่งในเนบิวลาที่สว่างสุดและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยมันอยู่ห่างไกลจากโลกประมาณ 1,270 ปีแสง ถือได้ว่าเป็นย่านกำเนิดดาวฤกษ์มวลมากที่อยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดแล้ว เนบิวลานายพรานมีขนาดกว้างประมาณ 24 ปีแสง หรือประมาณ 227 ล้านล้าน กิโลเมตร 




อันดับที่ 6: โอเมกาคนครึ่งม้า (Omega Centauri)
หรือ โอเมกา เซนทอรี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า NGC 5139 เป็นกระจุกดาวทรงกลมขนาดมหึมา ซึ่งใหญ่โตกว่าเนบิวล่าโอไรออนในก่อนหน้านี้ถึง 7 เท่า เราจะพบเห็น โอเมกา เซนทอรี ได้จากบริเวณของกลุ่มดาวคนครึ่งม้า ค้นพบโดย เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ในปี ค.ศ. 1677 ด้วยขนาดทรงกลมแสงของมันนี่เอง คนในสมัยก่อนจึงมีกเข้าใจผิดว่ามันคือดาวฤกษ์ดวงหนึ่งบนท้องฟ้า โดยกระจุกดาวโอเมกา เซนทอรี นั้นโคจรอยู่รอบดาราจักรทางช้างเผือกของเรา อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในกระจุกดาวทรงกลมจำนวนไม่มากนักที่จะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่ากันว่ามันเป็นกระจุกดาวที่มีความเกี่ยวข้องกับกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรามาก ที่ทั้งใหญ่สุดและสว่างสุด โดยมันตั้งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15,800 ปีแสง หรือ 4,850 เท่าของระยะทางจากโลกไปดวงอาทิตย์ (4,850 พาร์เซก) และจากการประเมินของนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า ณ ใจกลางของกระจุกดาวนั้นมีดาวฤกษ์อยู่หนาแน่นมาก หรือประมาณว่า ค่าเฉลี่ยระยะห่างของแต่ละดาวฤกษ์ พวกมันอยู่ห่างกันเพียงแค่ 0.1 ปีแสงเท่านั้น อายุโดยประมาณของกระจุกดาว โอเมกา เซนทอรีก็คือ 12,000 ล้านปี ซึ่งใกล้เคียงกับอายุของจักรวาลมาก ขนาดความใหญ่ของมันคือ 172 ปีแสง หรือประมาณ 1,627 ล้านล้าน กิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ (Small Magellanic Cloud)


อันดับที่ 5: เมฆแมเจลแลนเล็ก (Small Magellanic Cloud)
เป็นดาราจักรแคระ แห่งหนึ่งในกลุ่มท้องถิ่น ที่มีขนาดใหญ่กว่ากระจุกดาวโอเมกา เซนทอรีมากถึงประมาณ 40 เท่า และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในดาราจักรที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ และอยู่ใกล้กับทางช้างเผือกของเรา จนสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าจากท้องฟ้า โดยมันอยู่ห่างจากกาแล็กซีของเราประมาณ 200,000 ปีแสง นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเมฆแมเจลแลนเล็ก ในอดีตเคยเป็นกาแล็กซีชนิดก้นหอยแบบมีคานมาก่อน แต่ถูกรบกวนโดยกาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเรา จนทำให้มันเสียรูปร่างไปในที่สุด อย่างไรก็ตามเราก็ยังคงสามารถมองเห็นโครงสร้างรูปคานบริเวณตรงกลางของมันได้อยู่ ขนาดความใหญ่ของมันคือ 7,000 ปีแสง หรือประมาณ 66,223 ล้านล้าน กิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ (Milky Way)


อันดับที่ 4: ทางช้างเผือก (Milky Way)
คือกาแลคซี่อันเป็นที่ตั้งของระบบสุริยะและโลกของเรา และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้า โดยลักษณที่ปรากฏของมัน จะเป็นแถบขมุกขมัวคล้ายกับเมฆของแสงสว่างสีขาว และจากการประเมินก็พบว่า ในทางช้างเผือกเราอาจมีดาวฤกษ์อยู่มากสุดถึง 4 แสนล้านดวงกันเลยทีเดียว ในขณะที่ระบบสุริยะของเราคาดว่าน่าจะอยู่ห่างไกลจากใจกลางกาแล็กซีราว 26,490 ปีแสง และตั้งอยู่ตรงขอบด้านในของแขนนายพราน (Orion Arm) เมื่อเทียบกับเส้นศูนย์สูตรฟ้า ขนาดความใหญ่ของมันคือ 105,700 ปีแสง หรือประมาณ 1 ล้านล้านล้าน กิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ (IC 1101)


อันดับที่ 3: ไอซี 1101 (IC 1101)
กาแล็กซี่ IC 1101 ขึ้นชื่อได้ว่าคือราชาแห่งดาราจักรทั้งหลายทั้งมวล และเท่าที่ทราบกันก็คือมันมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์ได้เคยรู้จักกันเลยทีเดียว ซึ่งกว้างกว่ากาแล็กซีทางช้างเผือก (The milky way galaxy) มากถึง 50 เท่า นักวิทยาศาสตร์คาดว่า กาแล็กซีนี้อาจเกิดจากการรวมตัวกันของกาแล็กซี่น้อยใหญ่จำนวนมาก และ IC 1101 อาจมีจำนวนดาวฤกษ์ได้มากถึง 100 ล้านล้านดวง ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดย วิลเลียม เฮอร์เชล (William Herschel) ในวันที่ 19 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1790 และจากการคำนวณก็พบว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลกประมาณ 10,400 ล้านปีแสง ขนาดความใหญ่ของมันคือ 6,000,000 ปีแสง หรือประมาณ 56.76 ล้านล้านล้าน กิโลเมตร




อันดับที่ 2: พื้นที่ว่างโบโอธีส (The Bootes Void)
โบโอธีส วอยด์ (Boötes void) หรือ เกรท วอยด์ (Great Void) คือหนึ่งในพื้นที่รูปทรงกลมขนาดมหึมาภายในเอกภพ ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเกือบสมบูรณ์ โดยมีเพียงไม่กี่กาแล็กซี่ที่อยู่ภายใน จากการตรวจพบก็คือมีเพียง 60 กาแล็กซี่เท่านั้น ซึ่งจากค่าเฉลี่ยโดยปกติแล้วมันควรจะมีมากถึง 2,000 กาแล็กซีเลยด้วยซ้ำแต่กลับไม่เป็นดังที่คาดไว้ โดยมันอยู่ห่างไกลจากโลกในระยะประมาณ 700 ล้านปีแสง ว่ากันว่าถ้ากาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเราได้บังเอิญหลุดไปอยู่ ณ ใจกลาง โบโอธีส วอยด์แล้วละก็ บางทีเราอาจจะคิดว่าจักรวาลของเราคงจะมีแต่เพียงทางกาแล็คซี่ช้างเผือกก็เป็นได้ ขนาดความยิ่งใหญ่ของมันคือ 330,000,000 ปีแสง หรือประมาณ 3,122 ล้านล้านล้าน กิโลเมตร


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ The Universe)


อันดับที่ 1: จักรวาล (The Universe)
ซึ่งจากอันดับความยิ่งใหญ่ของดวงดาวดังที่ได้หยิบยกมาทั้งหมดนี้ ก็คงเทียบไม่ได้เลยกับขนาดของจักรวาลที่บรรจุพวกมันอีกที ซึ่งว่ากันว่าจักรวาลของเราถือกำเนิดจากลูกไฟอันร้อนแรงที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่าอะตอม โดยหนึ่งในทฤษฎีที่ถูกยอมรับมากที่สุดก็คือทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) และจากการคำนวณย้อนหลังก็พบว่า ณ ช่วงเวลาที่ 0.000000 000000 000000 000000 000000 000000 000000 1 วินาทีแรก (หรือ 10-43 seconds) จักรวาลของเราจะมีขนาดเล็กเพียง 0.000000 000000 000000 000000 000000 001 เซนติเมตร หรือประมาณ (10-33 cm)  และร้อนมากถึง 100 ล้านล้านล้าน องศาเซลเซียส และขณะที่เวลาได้ล่วงเลยไปหลังจากการการระเบิดเพียง 1 วินาทีก็พบว่า จักรวาลของเราขยายใหญ่ขึ้นมาจนมีขนาดโตถึง 1,000 ล้านล้าน กิโลเมตร! โดยปัจจุบันจักรวาลของเรามีอายุได้ประมาณ 13,700 ล้านปีแล้ว และคาดกันว่าขนาดของมันในตอนนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 ล้านปีแสง แต่ทว่า ด้วยขีดความสามารถในการสำรวจจักรวาลของเรากลับวัดได้เพียง 93,000 ล้านปีแสง หรือจะพูดง่ายๆก็คือจักรวาลมันขยายตัวเร็วเสียจน เกินขอบเขตการสำรวจของเราออกไปแล้วนั่นเอง
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น