ยูเอฟโอ (UFO) รูปแบบของ ผู้มาเยือน
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการเดินทางข้ามอวกาศ ทั้งแบบจรวดปฏิสสาร และ การวาร์ปนั้น ถึงแม้จะสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของการบรรลุความเร็วได้จนเกือบใกล้เคียงกับความเร็วแสง หรือไปได้เร็วกว่าความเร็วแสงในระบบวาร์ปไดรฟ์ ก็ยังมีปัญหาต่างๆนาๆมากมายตามมาอีก และที่สำคัญสุดก็คือในเรื่องของความปลอดภัยทั้งกับลูกเรือภายในยาน และความปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตในระบบดวงดาวที่มันเคลื่อนผ่าน ดังนั้นการจะเดินทางข้ามอวกาศด้วยความเร็วสูงเฉียดแสง จึงดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยากเอามากๆสำหรับเทคโนโลยีมนุษย์เราในปัจจุบัน แต่สำหรับสังคมอารยธรรมในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าเรา ไม่แน่พวกเขาอาจสามารถควบคุมทั้งในเรื่องของความเร็ว, การย่นระยะทาง และมีระบบป้องกันภัยที่ดีอยู่แล้วก็เป็นได้ ต่อจากนี้ไปในเนื้อหาที่จะได้บรรยายต่อจากนี้ เราจะมาทำการศึกษาถึงรูปแบบการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตทรงภมูิปัญญาจากต่างดาวกันว่า ถ้าหากพวกเขาได้เคยมาเยือนเราจริง หรือกำลังท่องอยู่ในอวกาศที่ใหนสักแห่งอยู่ รูปแบบการมาเยือนของพวกเขานั้นจะเป็นเช่นไร
ยานแม่ (Mother ship)
การมีอยู่ของยานแม่ และจุดประสงค์การมาเยือน ถือเป็นรากฐานสำคัญของทฤษฎีการเดินทางในอวกาศระหว่างดวงดาวของเอเลี่ยน ที่พบว่าระยะห่างในแต่ละที่ในอวกาศนั้น มันไกลเกินกว่าที่ยานลำเล็กๆอย่างจานบินจะสามารถมีพลังขับเคลื่อนมากพอ ที่จะเดินทางข้ามอวกาศได้นั่นเอง สิ่งเปรียบเทียบเพื่อให้เราเข้าใจคำว่ายานแม่ก็คือ เรือบรรทุกเครื่องบินของมนุษย์ ที่ใช้สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ โดยมีจุดประสงค์ก็คือการนำพาเครื่องบินไปปฎิบัติการยังสถานที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทีนี้กลับมาที่ยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว สำหรับการเดินทางข้ามระบบดาวบางภารกิจ อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานนับพันปี ดังนั้นยานแม่จึงควรที่จะถูกออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่มากพอ ที่จะสามารถสร้างระบบนิเวศของอาหารขึ้นเองได้ภายในตัว และนักเดินทางผู้ที่มากับยานลำดังกล่าวก็อาจจะต้องเกิด, เติบโต และตายไปในหลายๆชั่วรุ่น เพื่อเอาชนะเวลาที่ยาวนานในอวกาศระหว่างเดินทางไปยังจุดหมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ว่า มนุษย์ต่างดาวอาจสามารถแก้ปัญหาของการรอคอยอันแสนจะยาวนานนี้ได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีชะลออายุ (Suspended animation) เช่นการหลับจำศีลอยู่ในห้องที่เตรียมไว้แล้วรอคอยการปลุกให้ตื่นขึ้นอีกที ครั้งเมื่อยานได้เดินทางไปถึงเป้าหมายแล้วเป็นต้น
สำหรับการเอาชีวิตรอดจากช่วงเวลาที่ยาวนานขณะท่องอวกาศเองแล้ว มนุษย์ต่างดาวยังจะต้องเผชิญเข้ากับปัญหาอีกหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ ภัยอันตรายของการแผ่รังสีจากเครื่องยนต์จรวด ดังนั้นทางออกอีกหนึ่งแบบสำหรับการออกแบบยานแม่ก็คือ รูปทรงซิก้าร์ อีกทั้งยานอวกาศต่างดาวในรูปทรงซิก้าร์ยังตรงกับฐานข้อมูลที่ได้จากคำกล่าวอ้างของประจักษ์พยานที่เคยพบเห็นหลายๆคนอีกด้วย
ดังนั้นการออกแบบยานแม่ของมนุษย์ต่าง สิ่งที่ควรคำนึงสุดเลยเลยก็คือความปลอดภัย เช่นในส่วนของห้องโดยสาร ก็ควรจะต้องจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลออกมาจากห้องเครื่องยนต์ขับดันเท่าที่จะทำได้ นี่ก็หมายความว่ารูปทรงของยานอวกาศที่เราจะได้เห็นก็คือรูปทรงเรียวบางที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตร โดยที่ส่วนของห้องโดยสารและเครื่องยนต์จรวดจะถูกจัดวางให้อยู่ในส่วนปลายในทิศตรงกันข้ามของยานรูปทรงยาวนี้ ซึ่งการจัดวางดังกล่าวจะช่วยให้ผู้โดยสารปลอดภัย จากคลื่นนิวตรอนพลังงานสูง, รังสีเอกซ์ หรือ รังสีแกมมา จากระบบขับดันก้าวหน้าได้นั่นเอง
หลักฐานการมาเยือนของยานแม่เอเลี่ยน
ถ้าเคยมียานแม่ขนาดยักษ์ได้เคยเดินทางมาเยือนเราจริง หรือกำลังเดินทางอยู่ในอวกาศใกล้ๆระบบสุริยะแล้วล่ะก็ การมีอยู่ของหลักฐานก็จะต้องปรากฎให้เราเห็นได้อย่างอยากที่จะปฏิเสธ เช่นการแผ่พลังงานอันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากระบบขับดันขนาดยักษ์ ก็จะต้องสว่างเจิดจรัสเหมือนดั่งประภาคารในอวกาศ จนมนุษย์เราหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากระบบดวงดาวใกล้เคียง จะต้องมองเห็นได้ไกลนับปีแสง! แต่ปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายที่พบว่า เราเคยไม่เห็นสัญญาณการแผ่รังสีอนุภาคเหล่านั้นในสภาพวะแวดล้อมปกติได้เลย อีกทั้ง นอกเหนือไปจากหลักฐานประจักษ์ชัดของคลื่นรังสีที่แผ่ออกมาจากยานแม่เองแล้ว การมาเยือนของมันอาจเป็นหายนะของดาวเคราะห์ในระบบดวงดาวนั้นๆเลยด้วยซ้ำ เพราะการคลื่นรังสีจากระบบขับดันจรวด จะสามารถเผาทำลายชั้นบรรยากาศของโลกหรือดาวเคราะห์ที่มันเดินทางเฉียดผ่านไปด้วยได้ และนั้นก็จะเป็นมหาวิบัติการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ที่กลายเป็นว่า เราอาจได้เห็นการมาเยือนครั้งแรกของมนุษย์ต่างดาว และเป็นวาระสุดท้ายของพวกเราด้วยเช่นกัน (หากยานแม่ไม่ยอมดับเครื่องยนต์ขณะบินเข้ามาใกล้โลก)
แน่นอนว่าการที่มนุษย์ต่างดาวออกมาเยือนโลก นอกเหนือไปจากภารกิจสำรวจดวงดาวแล้วสิ่งที่พวกเขาจะต้องยอมเสี่ยงสูญเสียก็คือ ชีวิต ดังนั้นบางทีพวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องมาเยือนเราด้วยร่างจริงๆก็เป็นได้ แต่จะมาในรูปแบบของหุ่นยนต์ Ai ปัญญาประดิษฐ์! ซึ่งจากตัวอย่างใกล้ตัวเราอย่างการสำรวจดาวเคราะห์ภายในระบบสุริยะ การส่งโดรนยานยนต์ไปสำรวจก็ถือเป็นทางออกที่ดีในการลดการสูญเสียของชีวิต (ทางชีวะภาพ) และรวมไปถึงขนาดของยานอวกาศที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตอะไรมาก เพราะเครื่องจักรจะสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาวะของสูญญากาศ และสภาพบรรยากาศที่เบาบางหรือทนความร้อนสูงๆได้สบายๆ ดังที่เราอาจจะได้เห็นในนิยาย หรือภาพยนต์ไซไฟต่างๆ ที่เหล่าบรรดาเอเลี่ยนมักจะปรากฏให้เห็นในลักษณะของชีวิตในรูปแบบจักรกลแทน
ซึ่งความเป็นไปได้ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง ถ้าอ้างอิงจากกฎของมัวร์ (Moore’s law) ที่กล่าวว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวในเฉลี่ยทุกๆ สองปี ซึ่งจากประวิตศาสาตร์วงการไมโครชิบก็พบว่า สถิติดังกล่าว มีความสอดคล้างกันมาหลายทศวรรษแล้วแล้ว โดยความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย ดำเนินแนวทางไปตามกฎของมัวร์อย่างเห็นได้ชัด เช่น ความเร็วประมวลผล ความจุของแรม เซ็นเซอร์ หรือแม้แต่จำนวนพิกเซลของกล้องดิจิทัล และคาดว่ากฎของมัวร์ จะสามารถใช้อ้างอิงต่อไปได้อีกจนถึงปี 2020 หรืออาจมากกว่านั้น
และสำหรับเทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์ของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัยญาจากต่างดาว ที่มีวิทยาการล้ำหน้าไปกว่ามนุษย์เป็นหลายๆพันปี ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสามารถสร้างสมองเทียมขึ้นมาได้จากคอมพิวเตอร์ หรือจักรกลที่สามารถเลียนแบบสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง และเรียนรู้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งปัจุจบันแนวคิดนี้ ก็เริ่มมีนักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านตระหนักถึงความน่ากลัวของมันแล้ว เช่นนักฟิกส์ดังที่ผู้ล่วงลับไปแล้วอย่าง สตีเฟ่น ฮอว์คิงก็เคยออกมาเตือนว่า เอไอถูกออกแบบมาให้สามารถเลียนแบบสภาวะการเรียนรู้ของมนุษย์ และพัฒนาศักยภาพด้านความคิดของตัวเองได้ เพื่อมาแก้ไขโจทย์ปัญหาต่างๆตามคำสั่งที่ได้รับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป้าหมายของเอไอ มีการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์แล้วล่ะก็ มันก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ต่างๆขึ้นมาได้ และฮอว์คิงยังเชื่อด้วยว่า หากนำเอไอถูกนำไปใช้พัฒนาร่วมกับกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์แล้วล่ะก็ มันก็อาจทำให้เกิดการยกระดับความสามารถของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีก เช่น การผลิตตัวเองซ้ำๆได้ครั้งละมากๆ จนก่อให้เกิดเป็น ‘สิ่งมีชีวิตในรูปแบบใหม่’ ที่มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่มันอาจเข้ามาแทนที่มนุษย์และกลายเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้แทนเสียเลย!
จากเนื้อหาทั้งหมดที่ได้บรรยายมา ทั้งในเรื่องปัญหาของระยะทางและเวลาที่จำเป็นต้องใช้ไปกับการเดินทางในอวกาศ รวมไปถึงภัยอันตรายจากการแผ่รังสีของเครื่องยนต์จรวด ทำให้แนวคิดของหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์จึงมีความเป็นไปได้สูง เพราะไม่ว่าจะด้วยเรื่องของอายุขัยที่จำกัดของสิ่งมีชีวิตเชิงชีวภาพและภัยอันตรายในสูญญากาศนั้น หุ่นยนต์จะสามารถทนต่อสภาวะปัญหานั้นได้ทั้งหมด อีกทั้งมันยังสามารถเรียนรู้และคัดลอกตัวเองออกมาได้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่แน่ว่ารูปแบบของชีวิตจากต่างดาวที่มาเยือนโลกมนุษย์พวกแรก อาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในรูปแบบทางชีวภาพ แต่จะมาในรูปแบบของ สิ่งประดิษฐ์นึกคิดเองได้ในกายร่างของหุ่นยนต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น